เมื่อการขายสินค้าออนไลน์เติบโตอย่างรวดเร็ว หลายคนหันมาสนใจธุรกิจ E-commerce แต่กังวลเรื่องเงินทุนเริ่มต้น การลงทุนสต๊อกสินค้า และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ดังนั้น Dropship จึงกลายเป็นคำตอบที่ได้รับความนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นขายของออนไลน์ แต่ก่อนจะตัดสินใจ ควรทำความเข้าใจทั้งข้อดีและข้อจำกัดอย่างรอบด้าน
1. Dropship คืออะไร ?
Dropshipping คือ รูปแบบธุรกิจ E-commerce ที่ผู้ขายไม่จำเป็นต้องเก็บสต๊อกสินค้าไว้เอง แต่จะทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างลูกค้าและซัพพลายเออร์ เมื่อมีลูกค้าสั่งซื้อสินค้า ผู้ขายจะส่งต่อคำสั่งซื้อไปยังซัพพลายเออร์ แล้วซัพพลายเออร์จะจัดส่งสินค้าไปให้ลูกค้าโดยตรง
ความแตกต่างจากการขายปลีกแบบดั้งเดิมคือ ในการขายปกติผู้ขายต้องซื้อสินค้ามาเก็บสต๊อกก่อน จึงขายต่อให้ลูกค้า ส่วน Dropship ผู้ขายไม่ต้องถือสต๊อกสินค้าใด ๆ เลย
กระบวนการทำงานของ Dropship
ขั้นตอนการทำงานของ Dropship มีดังนี้
- ลูกค้าสั่งซื้อสินค้า – ลูกค้าเข้ามาสั่งซื้อสินค้าในเว็บไซต์หรือช่องทางขายของผู้ประกอบการ
- ผู้ขายส่งต่อคำสั่งซื้อให้ซัพพลายเออร์ – ผู้ประกอบการจะส่งรายละเอียดคำสั่งซื้อพร้อมที่อยู่ลูกค้าไปให้ซัพพลายเออร์
- ซัพพลายเออร์จัดส่งตรงถึงลูกค้า – ซัพพลายเออร์จะจัดเตรียมสินค้าและจัดส่งไปให้ลูกค้าโดยตรง โดยใช้ชื่อแบรนด์ของผู้ขาย
ตัวอย่างธุรกิจ Dropship ที่ประสบความสำเร็จ
ธุรกิจ Dropship ที่ประสบความสำเร็จมักจะมีลักษณะเฉพาะ เช่น การเลือกสินค้าเฉพาะกลุ่ม (Niche) การสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่ง และการให้บริการลูกค้าที่ดี
ตัวอย่างธุรกิจ Dropship ที่ประสบความสำเร็จ คือ Gymshark แบรนด์เสื้อผ้าฟิตเนสมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์ที่เริ่มต้นจากการ Dropship อาหารเสริมในปี 2012 โดย Ben Francis วัย 19 ปี ก่อนจะพัฒนาเป็นแบรนด์เสื้อผ้าออกกำลังกายที่มีชื่อเสียงระดับโลก
2. ข้อดีของการ Dropship
ข้อดีสำหรับผู้ประกอบการ
- ต้นทุนเริ่มต้นต่ำ ธุรกิจ Dropship เริ่มได้โดยไม่ต้องลงทุนซื้อสต๊อกสินค้าล่วงหน้า ทำให้ประหยัดเงินทุนเริ่มต้นได้มาก นอกจากนี้ยังไม่ต้องเสียค่าเช่าคลังสินค้า ค่าจัดเก็บ และค่าบำรุงรักษาสินค้าอีกด้วย
- ความเสี่ยงทางการเงินต่ำ เนื่องจากไม่ต้องซื้อสินค้ามาสต๊อกไว้ จึงไม่ต้องกังวลเรื่องสินค้าค้างคลัง สินค้าเสื่อมสภาพ หรือสินค้าล้าสมัย ทำให้เงินทุนหมุนเวียนน้อยกว่าการขายแบบดั้งเดิม
- ความยืดหยุ่นสูง ธุรกิจ Dropship สามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลา เพียงแค่มีอินเทอร์เน็ต ผู้ประกอบการสามารถเพิ่มหรือลดสินค้าได้ง่าย และขยายธุรกิจได้รวดเร็วเมื่อมีโอกาส
- สินค้าหลากหลาย สามารถเลือกขายสินค้าได้มากมายหลายประเภท โดยไม่ต้องกังวลเรื่องพื้นที่จัดเก็บ ทำให้สามารถทดสอบตลาดกับสินค้าใหม่ ๆ ได้ง่าย
ข้อดีสำหรับลูกค้า
- ราคาสินค้าแข่งขันได้ เนื่องจากผู้ขาย Dropship มีต้นทุนการดำเนินงานต่ำ จึงสามารถเสนอราคาที่แข่งขันได้ในตลาด
- ตัวเลือกสินค้ามากมาย ลูกค้าสามารถเลือกซื้อสินค้าได้อย่างหลากหลายจากร้านค้าเดียว เนื่องจากผู้ขายสามารถนำเสนอสินค้าจากหลายซัพพลายเออร์
3. ข้อจำกัดของ Dropship
ข้อจำกัดสำหรับผู้ประกอบการ
- กำไรต่อชิ้นต่ำ เนื่องจากการแข่งขันด้านราคาที่สูง และต้องแบ่งกำไรให้ซัพพลายเออร์ ทำให้กำไรต่อชิ้นค่อนข้างต่ำ ผู้ประกอบการต้องขายให้ได้จำนวนเยอะ ๆ เพื่อให้ได้กำไรขึ้นมา
- ควบคุมคุณภาพยาก ผู้ขายไม่สามารถตรวจสอบคุณภาพสินค้าก่อนส่งถึงลูกค้าได้ ต้องพึ่งพาซัพพลายเออร์ในการควบคุมคุณภาพสินค้าเป็นหลัก ซึ่งอาจส่งผลต่อความพึงพอใจของลูกค้า
- กำหนดการจัดส่งและบริการหลังการขายลำบาก เวลาในการจัดส่งมักจะนานกว่าการขายแบบปกติ เนื่องจากต้องผ่านซัพพลายเออร์ นอกจากนี้การจัดการเรื่องร้องเรียน การคืนสินค้า หรือการแลกเปลี่ยนก็ทำได้ยากกว่า
- ธุรกิจขึ้นอยู่กับซัพพลายเออร์มากเกินไป หากซัพพลายเออร์มีปัญหา เช่น สต๊อกหมด คุณภาพสินค้าไม่ดี หรือจัดส่งช้า จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจโดยตรง การเปลี่ยนซัพพลายเออร์ใหม่ก็อาจเป็นเรื่องยุ่งยากและใช้เวลา
ข้อจำกัดสำหรับลูกค้า
- เวลารอรับสินค้านาน เนื่องจากกระบวนการจัดส่งต้องผ่านซัพพลายเออร์ ทำให้ลูกค้าต้องรอรับสินค้านานกว่าการซื้อจากร้านค้าที่มีสต๊อกเอง
- ความไม่แน่นอนในคุณภาพ ลูกค้าอาจได้รับสินค้าที่คุณภาพไม่ตรงตามที่คาดหวัง เนื่องจากผู้ขายไม่ได้ตรวจสอบสินค้าก่อนส่ง

4. เทคนิคประสบความสำเร็จในการทำ Dropship
- เลือกซัพพลายเออร์ที่เชื่อถือได้ การเลือกซัพพลายเออร์ที่มีความน่าเชื่อถือ มีประสบการณ์ และให้บริการที่ดี เป็นปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จของธุรกิจ ควรตรวจสอบรีวิว ประวัติ และการให้บริการของซัพพลายเออร์อย่างละเอียด
- สร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่ง การสร้างตัวตนและความแตกต่างของแบรนด์จะช่วยให้โดดเด่นจากคู่แข่ง สร้างการจดจำได้ และเพิ่มความไว้วางใจจากลูกค้า
- เน้นบริการลูกค้าที่ดี การให้บริการลูกค้าที่ดี ตอบคำถามรวดเร็ว และแก้ไขปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยสร้างความพึงพอใจและความซื่อสัตย์ของลูกค้า
- ใช้เครื่องมือ Marketing ที่เหมาะสม การเลือกใช้ช่องทางการตลาดที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย เช่น Social Media Marketing, Search Engine Marketing, หรือ Content Marketing จะช่วยเพิ่มยอดขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- วิเคราะห์ข้อมูลและปรับปรุงอย่างสม่ำเสมอ การติดตามและวิเคราะห์ข้อมูลการขาย พฤติกรรมลูกค้า และประสิทธิภาพของแต่ละช่องทาง จะช่วยในการปรับปรุงและพัฒนาธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน
- พิจารณาใช้บริการจัดการคลังสินค้า เมื่อธุรกิจเติบโตและมียอดขายเพิ่มขึ้น การใช้บริการจัดการคลังสินค้า (Fulfilment Service) อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการทำ Dropship แบบดั้งเดิม เนื่องจากช่วยให้ควบคุมคุณภาพสินค้าและเวลาจัดส่งได้ดีขึ้น พร้อมทั้งลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาซัพพลายเออร์เพียงรายเดียว การใช้บริการคลังสินค้าออนไลน์จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการออร์เดอร์ การติดตามสต๊อก และการจัดส่งสินค้า จึงสามารถให้บริการลูกค้าได้ดีขึ้นและสร้างความพึงพอใจที่ยั่งยืน
แม้ว่า Dropship จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับผู้ประกอบการใหม่ แต่เมื่อธุรกิจเติบโตขึ้น การมีคลังสินค้าเป็นของตัวเองจะช่วยควบคุมคุณภาพและเวลาจัดส่งได้ดีกว่า อย่างไรก็ตาม การลงทุนคลังสินค้าเองอาจมีต้นทุนสูงและซับซ้อน ซึ่งการใช้บริการคลังสินค้าออนไลน์ถือเป็นอีกทางเลือกที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการออร์เดอร์และจัดส่งสินค้า ซึ่ง Scale Up มีบริการจัดการคลังสินค้าด้วยโซลูชันระบบจัดการคลังสินค้าออนไลน์ที่ช่วยให้บริหารธุรกิจ E-commerce ของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมควบคุมคุณภาพและความรวดเร็วในการจัดส่งที่ดีกว่า
ติดต่อเราเพื่อเริ่มต้นวันนี้ !
📞 098-991-9356 | 📲 LINE: @scaleup
🌐https://www.scaleup-thailand.com/
ข้อมูลอ้างอิง:
- The Truth About Dropshipping: The Good, The Bad and The Ugly. สืบค้นเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2568 จาก https://www.bigcommerce.com/blog/dropshipping/

Scale Up ผู้นำด้านบริการ Fulfilment ระบบจัดการร้านค้าออนไลน์ที่ดูแลครอบคลุมทุกความต้องการด้านคลังสินค้าสำหรับธุรกิจ E-commerce ทั้งระบบ OMS (Order Management System) ระบบ WMS (Warehouse Management System) และอีกมากมาย ด้วยบริการครบวงจรที่ตอบโจทย์พ่อค้าแม่ค้ามือใหม่ รวมถึงผู้ประกอบการที่ต้องการขยายธุรกิจและจัดการออร์เดอร์ เพื่อเสริมยอดขาย พร้อมดูแลร้านค้าออนไลน์ให้ธุรกิจเติบโต