บทความ

หน้าแรก >> บทความ >>

เจาะลึกบริการ Drop Off คืออะไร ต่างจาก Pick Up ตรงไหน

เจาะลึกบริการ Drop Off คืออะไร ต่างจาก Pick Up ตรงไหน

เจาะลึกบริการ Drop Off คืออะไร ต่างจาก Pick Up ตรงไหน

เมื่อธุรกิจออนไลน์เติบโตขึ้น การจัดการด้านการจัดส่งที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพคือหัวใจสำคัญที่สร้างความได้เปรียบให้กับร้านค้าของคุณ หนึ่งในวิธีการส่งของที่พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์คุ้นเคยกันดีคือ “Drop Off” ซึ่งมีความสะดวกและยืดหยุ่นสูง วันนี้ Scale Up Fulfillment จะพาไปเจาะลึกว่าบริการ Drop Off คืออะไร มีข้อดีข้อเสียอย่างไร และแตกต่างจากบริการ Pick Up อย่างไร เพื่อให้คุณเลือกวิธีที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณที่สุด

บริการ Drop Off คืออะไร

บริการ Drop Off คือ รูปแบบการจัดส่งพัสดุที่ผู้ขายหรือเจ้าของร้านค้านำพัสดุที่แพ็กเรียบร้อยแล้วไปส่งเอง ณ จุดให้บริการ (Drop-off Point) ของบริษัทขนส่งต่าง ๆ เช่น สาขาของขนส่ง ร้านสะดวกซื้อ หรือจุดบริการที่เป็นพาร์ทเนอร์ วิธีนี้ช่วยให้ผู้ส่งสามารถเลือกเวลาและสถานที่ที่สะดวกได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องรอรถขนส่งมารับถึงที่ ทำให้การส่งของมีความคล่องตัวสูง

เปรียบเทียบชัด ๆ ส่งพัสดุแบบ Drop Off แตกต่างจาก Pick Up อย่างไร

เพื่อให้เห็นภาพความแตกต่างระหว่างสองบริการนี้ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น หลายคนจึงมักจะสงสัยว่าการส่งพัสดุแบบ Drop Off คือบริการที่เหมาะกับตนเองจริงหรือไม่ เราได้สรุปประเด็นสำคัญมาให้ในรูปแบบตาราง เพื่อให้เจ้าของธุรกิจสามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้น

หัวข้อเปรียบเทียบการส่งแบบ Drop Offการส่งแบบ Pick Up
รูปแบบบริการผู้ส่งนำพัสดุไปส่งที่จุดบริการเองพนักงานขนส่งเข้ามารับพัสดุถึงที่
ความยืดหยุ่นด้านเวลาสูงมาก สามารถไปส่งได้ตลอดเวลาทำการต่ำกว่า ต้องนัดหมายและรอตามรอบรถ
ความเร็วในการส่งเข้าระบบรวดเร็ว พัสดุเข้าระบบขนส่งทันทีที่สแกนช้ากว่า ต้องรอรวบรวมพัสดุจากจุดอื่นก่อน
ค่าใช้จ่ายโดยทั่วไปมีค่าบริการถูกกว่า หรือมีโปรโมชั่นอาจมีค่าบริการเข้ารับเพิ่มเติม หรือไม่มีส่วนลด
ความเหมาะสมร้านค้าขนาดเล็ก, ออเดอร์ไม่เยอะ, ต้องการความคล่องตัวร้านค้าขนาดกลาง-ใหญ่, ออเดอร์จำนวนมาก, ไม่สะดวกเดินทาง

ข้อดี-ข้อเสีย ของการส่งพัสดุแบบ Drop Off ที่เจ้าของธุรกิจต้องรู้

การส่งของแบบ Drop Off เหมาะกับร้านค้าออนไลน์ประเภทไหน

แม้ว่าบริการ Drop Off คือทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับหลาย ๆ ธุรกิจ แต่ก็มีทั้งข้อดีและข้อจำกัดที่ควรพิจารณาให้รอบด้าน เพื่อให้แน่ใจว่าวิธีการนี้จะช่วยสนับสนุนการเติบโตของร้านค้าคุณได้อย่างแท้จริง ไม่ใช่การสร้างภาระแฝงในระยะยาว เราลองมาทำความเข้าใจถึงข้อดี-ข้อเสียกันให้ครบ ๆ ดีกว่า 

ข้อดีของการส่งพัสดุแบบ Drop Off

  • ความยืดหยุ่นสูง : เจ้าของร้านสามารถวางแผนนำพัสดุไปส่งได้ตามเวลาที่สะดวก ไม่ต้องผูกมัดกับการรอรอบรถขนส่งมารับ ทำให้บริหารจัดการเวลาในแต่ละวันได้ง่ายขึ้น
  • ประหยัดต้นทุนค่าขนส่ง : อัตราค่าบริการของ Drop Off มักจะถูกกว่าแบบ Pick Up เล็กน้อย ซึ่งเมื่อรวมกันหลาย ๆ ออเดอร์จะช่วยลดต้นทุนค่าจัดส่งโดยรวมของธุรกิจได้
  • ส่งของเข้าระบบได้รวดเร็ว : พัสดุจะถูกสแกนเข้าระบบของบริษัทขนส่งทันทีที่ไปถึงจุดบริการ ทำให้ลูกค้าสามารถตรวจสอบสถานะพัสดุ (Tracking) ได้อย่างรวดเร็ว สร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ซื้อ
  • เลือกจุดบริการได้หลากหลาย : ปัจจุบันจุดให้บริการ Drop Off มีกระจายอยู่ทั่วประเทศ ทำให้สามารถเลือกจุดที่ใกล้และสะดวกที่สุด ช่วยลดเวลาในการเดินทางได้

ข้อเสียของการส่งพัสดุแบบ Drop Off

  • มีค่าใช้จ่ายและเสียเวลาในการเดินทาง : ผู้ส่งต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปยังจุดบริการด้วยตนเอง และต้องจัดสรรเวลาสำหรับการเดินทาง ซึ่งหากธุรกิจเติบโตและมีออเดอร์มากขึ้น เวลาส่วนนี้อาจกระทบต่อการบริหารงานด้านอื่นได้
  • ข้อจำกัดด้านปริมาณและขนาด : การนำพัสดุจำนวนมากหรือขนาดใหญ่ไปส่งเองอาจไม่สะดวกและเป็นเรื่องยากลำบาก ทำให้บริการ Drop Off คือทางเลือกที่ไม่เหมาะกับร้านค้าที่มียอดสั่งซื้อสูงในแต่ละวัน
  • ภาระงานเพิ่มขึ้น : ทุกขั้นตอนตั้งแต่การพิมพ์ใบปะหน้า การแพ็กของ ไปจนถึงการนำไปส่ง ล้วนเป็นงานที่เจ้าของธุรกิจต้องลงมือทำเองทั้งหมด ซึ่งอาจทำให้ไม่มีเวลาไปโฟกัสกับการตลาดหรือการพัฒนาสินค้า

การส่งของแบบ Drop Off เหมาะกับร้านค้าออนไลน์ประเภทไหน

จากข้อดีและข้อเสียข้างต้น จะเห็นได้ว่าบริการ Drop Off คือทางเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับธุรกิจบางประเภท แต่ก็อาจไม่ตอบโจทย์สำหรับธุรกิจที่กำลังขยายตัว เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น เรามายกตัวอย่างกลุ่มธุรกิจที่เหมาะกับการใช้บริการนี้กัน

  • ร้านค้าที่เพิ่งเริ่มต้นธุรกิจ : สำหรับร้านค้าใหม่ที่มียอดออเดอร์ต่อวันยังไม่สูง (เช่น 1-20 ออเดอร์) การนำของไปส่งเองเป็นวิธีที่คล่องตัว และช่วยควบคุมต้นทุนในช่วงเริ่มต้นได้เป็นอย่างดี
  • ธุรกิจที่ขายสินค้าขนาดเล็กและน้ำหนักเบา : เช่น ร้านขายเครื่องประดับ เคสโทรศัพท์ หรือเสื้อผ้า 1-2 ชิ้นต่อออเดอร์ ซึ่งง่ายต่อการขนย้ายและนำไปส่งที่จุดบริการด้วยตนเอง
  • ผู้ประกอบการที่ทำเป็นอาชีพเสริม : สำหรับผู้ที่ทำงานประจำและขายของออนไลน์เป็นอาชีพเสริม ความยืดหยุ่นของ Drop Off ช่วยให้สามารถนำของไปส่งหลังเลิกงานหรือในวันหยุดได้สะดวก
  • ร้านค้าที่ตั้งอยู่ใกล้จุดบริการขนส่ง : หากที่พักหรือสต๊อกสินค้าของคุณตั้งอยู่ใกล้กับสาขาของบริษัทขนส่ง การเดินหรือขับรถไปส่งของเองจะใช้เวลาน้อยและมีความคุ้มค่าสูง

รู้จักกับบริการ Fulfillment ทางเลือกที่ดีกว่าเมื่อ Drop Off ไม่ตอบโจทย์

บริการ Fulfillment

เมื่อธุรกิจของคุณเติบโตถึงจุดที่การจัดการออเดอร์ด้วยตัวเองกลายเป็นเรื่องที่ใช้เวลาและจุกจิกเกินไป นั่นคือสัญญาณว่าคุณต้องการตัวช่วยที่เป็นมืออาชีพมากกว่าเดิม บริการ Fulfillment คือคำตอบที่ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้โดยเฉพาะ ที่ Scale Up Fulfillment เราพร้อมมอบบริการ Fulfillement ที่เป็นมากกว่าแค่การส่งของ แต่คือการเป็นทีมหลังบ้านครบวงจรให้กับคุณ

บริการของเราครอบคลุมตั้งแต่การรับสินค้ามาจัดเก็บในคลังสินค้าที่ได้มาตรฐาน, การจัดการสต๊อกด้วยระบบ WMS (Warehouse Management System) ที่แม่นยำ การเชื่อมต่อทุกช่องทางการขายของคุณเข้าด้วยกันผ่านระบบ OMS (Order Management System) เพื่อจัดการออเดอร์แบบอัตโนมัติ ไปจนถึงขั้นตอนสำคัญอย่างการแพ็คของส่งของ และจัดส่งถึงมือลูกค้าอย่างรวดเร็ว การเลือกใช้บริการของเราจะช่วยให้คุณหมดกังวลเรื่องหลังบ้าน และมีเวลาไปโฟกัสกับการขยายธุรกิจได้อย่างเต็มที่ การทำความเข้าใจว่า Drop Off คืออะไรและมีข้อจำกัดอย่างไร จะช่วยให้คุณเห็นว่า Fulfillment สามารถเข้ามาเติมเต็มช่องว่างและยกระดับธุรกิจของคุณได้อย่างไร

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับบริการ Drop Off

จุด Drop Off คืออะไร มีที่ไหนบ้าง

จุด Drop Off คือ สถานที่ที่ผู้ส่งสามารถนำพัสดุไปฝากส่งได้ ซึ่งมีหลากหลายรูปแบบ เช่น ที่ทำการไปรษณีย์, สำนักงานสาขาของบริษัทขนส่งเอกชน ร้านสะดวกซื้อที่ร่วมรายการ หรือตู้ล็อกเกอร์รับฝากพัสดุอัตโนมัติ โดยสามารถค้นหาจุดบริการที่ใกล้ที่สุดผ่านแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ของแต่ละบริษัทขนส่งได้

ส่งของแบบ Drop Off ต้องเตรียมใบปะหน้าพัสดุเองหรือไม่

โดยส่วนใหญ่แล้ว ผู้ส่งจะต้องทำการสร้างออเดอร์ในระบบของแพลตฟอร์มหรือบริษัทขนส่ง และพิมพ์ใบปะหน้าพัสดุออกมาแปะบนกล่องให้เรียบร้อยก่อนนำไปที่จุดบริการ เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถสแกนบาร์โค้ดและรับพัสดุเข้าระบบได้อย่างรวดเร็ว การเตรียมเอกสารให้พร้อมจึงเป็นหัวใจสำคัญของบริการ Drop Off คือวิธีที่ช่วยประหยัดเวลาทั้งสองฝ่าย

บริการ Drop Off จำกัดจำนวนการส่งต่อครั้งหรือไม่

โดยทั่วไปแล้วไม่มีการจำกัดจำนวนชิ้นในการส่งแบบ Drop Off ต่อครั้ง แต่หากมีปริมาณพัสดุมาก (เช่น 50-100 กล่องขึ้นไป) การนำไปส่งเองอาจไม่สะดวกและใช้เวลานาน ในกรณีนี้ การเลือกใช้บริการแบบ Pick Up (เรียกรถมารับ) หรือการใช้บริการคลังสินค้า Fulfillment จะเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสมกว่ามากหากคุณสนใจบริการ Fulfillment เราพร้อมเป็นพาร์ทเนอร์ดูแลธุรกิจของคุณให้เติบโตไปพร้อมกัน ติดต่อเราได้ที่ โทร. 098-9919356 Facebook : Scaleup Fulfillment Line : Scaleup Fulfillment

บทความอื่นๆ

Quotation
FB Icon line Icon
Go to Top
th
th