บทความ

หน้าแรก >> บทความ >>

เริ่มธุรกิจขายของออนไลน์ถูกกฎหมาย ต้องจดทะเบียนอะไรบ้าง ?

เริ่มธุรกิจขายของออนไลน์ถูกกฎหมาย ต้องจดทะเบียนอะไรบ้าง ?

จดทะเบียนพาณิชย์เพื่อขายของออนไลน์ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือของร้านค้าได้

หลายคนเริ่มต้นธุรกิจจากการขายของออนไลน์ผ่านโซเชียลมีเดียหรือแพลตฟอร์ม E-commerce ต่าง ๆ แต่สิ่งสำคัญที่หลายคนมักมองข้ามคือ การจดทะเบียนพาณิชย์ขายของออนไลน์ให้ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งการไม่จดทะเบียนนั้นไม่เพียงทำให้เสี่ยงต่อการถูกปรับ แต่ยังขาดความน่าเชื่อถือในสายตาลูกค้าอีกด้วย บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจว่าเปิดร้านออนไลน์ต้องจดทะเบียนอะไรบ้าง รวมถึงขั้นตอนการดำเนินการ เอกสารที่จำเป็น และคำตอบสำหรับคำถามที่พบบ่อย เพื่อให้คุณสามารถเริ่มต้นธุรกิจออนไลน์อย่างถูกต้องและมั่นใจ

1. การจดทะเบียนพาณิชย์คืออะไร ?

การจดทะเบียนพาณิชย์ หรือที่เรียกอีกอย่างว่า การจดทะเบียนการค้า แบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก ได้แก่ พาณิชย์ธรรมดาสำหรับร้านค้าทั่วไป และพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับธุรกิจ E-commerce โดยการจดทะเบียนพาณิชย์นั้นแตกต่างจากการจดทะเบียนบริษัท เนื่องจากมีรูปแบบที่เรียบง่ายและเหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็กถึงกลาง

การจดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ จึงเป็นสิ่งที่ธุรกิจออนไลน์ทุกประเภทต้องปฏิบัติตาม ไม่ว่าจะขายผ่านช่องทางใดก็ตาม เพราะถือเป็นการให้ความคุ้มครองทางกฎหมายและสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่ธุรกิจ

2. ขายของออนไลน์ ต้องจดทะเบียนอะไรบ้าง ?

2.1 ทะเบียนหลักที่ต้องจด

การจดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (บังคับ)

การจดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นข้อบังคับสำหรับทุกธุรกิจที่ขายผ่านออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์, Facebook, Instagram, TikTok, Shopee หรือ Lazada ด้วยค่าธรรมเนียมเพียง 50 บาท และต้องจดทะเบียนภายใน 30 วันหลังจากเริ่มธุรกิจ การจดทะเบียนร้านค้าออนไลน์นี้จะทำให้ธุรกิจของคุณได้รับการรับรองจากภาครัฐและสามารถดำเนินกิจการได้อย่างถูกต้อง

การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) (เมื่อรายได้เกิน 1.8 ล้าน/ปี)

สำหรับธุรกิจที่มีรายได้สูงเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี จะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งจะส่งผลต่อการตั้งราคาสินค้าและการคิดภาษี โดยการจดทะเบียนแบบนี้ไม่มีค่าธรรมเนียม แต่จะต้องมีการจัดเก็บและส่งภาษีตามกำหนด

2.2 เกณฑ์ที่ต้องจดทะเบียน vs ไม่ต้องจด

ธุรกิจที่ต้องจดทะเบียน จะมีลักษณะคือขายเป็นอาชีพ มีรายได้สม่ำเสมอ ขายผ่าน E-marketplace เว็บไซต์ หรือโซเชียลมีเดีย และมีการลงทุนซื้อสต๊อกสินค้า

ในขณะที่ธุรกิจที่ไม่ต้องจดทะเบียน จะเป็นการขายที่ไม่เป็นอาชีพหลัก เป็นเพียงงานอดิเรก หรือเป็นธุรกิจขนาดเล็กที่ได้รับยกเว้นตามกฎหมาย

2.3 การจดทะเบียนเสริมที่ควรมี

DBD Registered (เสริมความน่าเชื่อถือ)

เครื่องหมายรับรองจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้านี้ จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้แก่ร้านค้าของคุณอย่างมาก โดยสามารถสมัครได้หลังจากจดทะเบียนพาณิชย์เรียบร้อยแล้ว ซึ่งการมี DBD Registered จะทำให้ลูกค้ามั่นใจในการซื้อสินค้าจากร้านของคุณมากขึ้น

ใบอนุญาตเฉพาะสินค้า (ตามประเภทสินค้า)

หากธุรกิจของคุณขายสินค้าประเภทพิเศษ อาจต้องมีใบอนุญาตเพิ่มเติม เช่น

  • อย. สำหรับอาหาร เครื่องดื่ม และเครื่องสำอาง
  • กสทช. สำหรับอุปกรณ์โทรคมนาคม
  • ใบอนุญาตอื่น ๆ ตามประเภทสินค้าที่ขาย

3. ขั้นตอนและเอกสารการจดทะเบียนขายของออนไลน์

3.1 เอกสารที่จำเป็น (ทั้งการยื่นธรรมดาและออนไลน์)

การจดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ต้องใช้เอกสารดังนี้
สำหรับบุคคลธรรมดา:

  • สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน
  • สำเนาทะเบียนบ้าน
  • แบบฟอร์ม ทพ. (แบบคำขอจดทะเบียนพาณิชย์) พร้อมรายละเอียดเว็บไซต์หรือช่องทางการขาย
  • แผนที่สถานประกอบการ
  • เอกสารการจดโดเมนเนม (ชื่อเจ้าของโดเมนต้องตรงกับผู้ขอจดทะเบียน)

สำหรับนิติบุคคล (บริษัท/ห้างหุ้นส่วน):

  • หนังสือรับรองนิติบุคคลและสำเนาหนังสือบริคณห์สนธิ
  • สำเนาบัตรประชาชนกรรมการ/หุ้นส่วนผู้จัดการ
  • แบบฟอร์ม ทพ. สำหรับนิติบุคคล
  • การเตรียมเอกสารให้ครบถ้วนจะช่วยให้กระบวนการอนุมัติเป็นไปอย่างรวดเร็ว โดยต้องจดทะเบียนภายใน 30 วันนับแต่เริ่มประกอบกิจการ

3.2 วิธีการยื่นจดทะเบียนขายของออนไลน์

ปัจจุบันมี 2 วิธีในการยื่นจดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์

วิธีที่ 1: การยื่นด้วยตนเอง (แบบธรรมดา)

ขั้นตอนการดำเนินการ:

  • เตรียมเอกสารให้ครบถ้วน
  • ยื่นคำขอที่สำนักงานเขต/เทศบาล
  • รอการตรวจสอบ 1-7 วันทำการ (อาจมีขั้นตอนขอแก้ไข/เพิ่มเติมเอกสารหากพบข้อผิดพลาด)
  • รับใบทะเบียนพาณิชย์

สถานที่ยื่น:

  • กรุงเทพฯ: สำนักงานเขต
  • ต่างจังหวัด: เทศบาลหรือองค์การบริหารส่วนตำบล

วิธีที่ 2: การยื่นผ่านระบบออนไลน์ (e-Registration)

ปัจจุบันการจดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์สามารถดำเนินการผ่านระบบออนไลน์ e-Registration ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ขั้นตอนการดำเนินการ:

  1. ลงทะเบียนและยืนยันตัวตนในระบบ e-Registration ซึ่งสามารถยืนยันตัวตนได้ทั้งแบบพบหน้าเจ้าหน้าที่ (Walk-in) ที่สำนักงานพัฒนาธุรกิจการค้า หรือเลือกใช้ระบบ e-KYC สำหรับตรวจสอบตัวตนออนไลน์
  2. เมื่อบัญชีผ่านการยืนยัน สามารถกรอกข้อมูลและยื่นคำขอจดทะเบียนได้ทันทีผ่านระบบ
  3. ลงลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ด้วย Username, Password และรหัส OTP จากระบบ
  4. ชำระค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น QR Code, บัตรเครดิต/เดบิต, Internet Banking หรือเคาน์เตอร์ธนาคารพันธมิตร
  5. หลังยืนยันชำระเงิน ระบบจะแจ้งสถานะการดำเนินการ ซึ่งสามารถติดตามและดาวน์โหลดเอกสารรับรองอิเล็กทรอนิกส์ได้จากระบบทันที โดยผู้ใช้งานเลือกได้ว่าจะรับ e-Certificate (ไฟล์ PDF) หรือเลือกรับเอกสารกระดาษทางไปรษณีย์ด่วนพิเศษ (EMS)

4. ค่าใช้จ่ายและเวลา

การจดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อขายของออนไลน์มีค่าธรรมเนียมเพียง 50 บาท ซึ่งถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามาก ระยะเวลาในการอนุมัติใช้เวลาประมาณ 7-15 วันทำการ ขึ้นอยู่กับความครบถ้วนของเอกสารและปริมาณงานของแต่ละหน่วยงาน

ผู้ที่จดทะเบียนพาณิชย์ขายของออนไลน์จะได้เครื่องหมายรับรองความน่าเชื่อถือ และประโยชน์อื่น ๆ

5. สิทธิประโยชน์หลังจดทะเบียน

5.1 ประโยชน์ที่ได้รับ

หลังจากจดทะเบียนแล้ว คุณจะได้รับสิทธิ์ในการขอ DBD Registered ซึ่งเป็นเครื่องหมายรับรองความน่าเชื่อถือ สามารถเข้าร่วมโครงการอบรมจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ใช้เป็นหลักฐานสำหรับการขอสินเชื่อธุรกิจ และลดความเสี่ยงทางกฎหมายในการดำเนินธุรกิจ

5.2 หน้าที่ที่ต้องปฏิบัติ

หลังจดทะเบียนแล้ว ผู้ประกอบการมีหน้าที่ในการแจ้งเปลี่ยนแปลงข้อมูลเมื่อมีการย้ายหรือเปลี่ยนแปลงข้อมูลสำคัญ และต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดทางภาษีอย่างถูกต้อง

6. เรื่องภาษีที่ต้องรู้

6.1 ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)

เมื่อธุรกิจมีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี จะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งจะส่งผลต่อการตั้งราคาสินค้าเนื่องจากต้องคิดภาษี 7% เพิ่มเติม

6.2 ภาษีเงินได้

ผู้ประกอบการต้องแยกรายได้จากธุรกิจและรายได้ส่วนตัวให้ชัดเจน และจำเป็นต้องเก็บใบเสร็จและหลักฐานการเงินทุกรายการเพื่อการคำนวณภาษีที่ถูกต้อง

7. คำถามที่พบบ่อย

7.1 ไม่มีหน้าร้านจดทะเบียนการค้าได้ไหม ?

สามารถใช้ที่อยู่บ้านเป็นสถานประกอบการได้ โดยต้องระบุในแบบฟอร์มให้ชัดเจนว่าเป็นธุรกิจที่ดำเนินการจากบ้าน

7.2 ขายหลายแพลตฟอร์มต้องจดทะเบียนร้านค้าออนไลน์แยกไหม ?

ไม่ต้องจดแยก เพียงจดทะเบียนครั้งเดียวก็สามารถครอบคลุมทุกช่องทางการขาย แต่ต้องระบุรายละเอียดทุกแพลตฟอร์มที่ใช้ในแบบฟอร์ม

8. ข้อผิดพลาดที่ควรหลีกเลี่ยง

ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยได้แก่

  • การกรอกข้อมูลไม่ครบถ้วนหรือไม่ถูกต้อง เช่น การระบุที่อยู่ไม่ชัดเจน การเขียนชื่อธุรกิจผิด หรือไม่ได้ระบุช่องทางการขายทั้งหมด ซึ่งจะทำให้การอนุมัติล่าช้าหรืออาจถูกปฏิเสธ
  • การไม่แจ้งเปลี่ยนแปลงข้อมูลเมื่อมีการย้ายสถานที่ประกอบการ เปลี่ยนแปลงประเภทสินค้า หรือเพิ่มช่องทางการขายใหม่ ซึ่งอาจส่งผลให้ใบทะเบียนไม่สอดคล้องกับการดำเนินธุรกิจจริง
  • การเข้าใจผิดระหว่างงานอดิเรกกับการทำธุรกิจ หลายคนคิดว่าการขายของเป็นครั้งคราวไม่ต้องจดทะเบียน แต่หากมีการขายสม่ำเสมอและมีรายได้เป็นประจำ ก็ถือว่าเป็นการประกอบธุรกิจที่ต้องจดทะเบียนเช่นกัน

การจดทะเบียนพาณิชย์สำหรับธุรกิจออนไลน์ เป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจดำเนินการอย่างถูกต้องตามกฎหมาย สร้างความน่าเชื่อถือ ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าสำหรับความมั่นใจในการทำธุรกิจระยะยาว หลังจากจดทะเบียนเสร็จแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการเลือกระบบที่เหมาะสมสำหรับการจัดการธุรกิจออนไลน์ของคุณ Scale Up มีระบบหลังบ้าน E-commerce ที่ครบครันสำหรับธุรกิจออนไลน์ ตั้งแต่การจัดการสินค้า การรับออเดอร์ การติดตามยอดขาย ไปจนถึงการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า

แพ็กเกจเริ่มต้นเพียง 25,000 บาท สำหรับ 10 แบรนด์แรกที่ติดต่อเข้ามาเท่านั้น

หากคุณกำลังมองหา “ระบบหลังบ้าน” ที่ดูแลธุรกิจออนไลน์ให้ครบทุกด้าน ตั้งแต่คลังสินค้า บริการจัดส่งสินค้า การตลาด ไปจนถึงการวิเคราะห์ผล – ให้ Scale Up Fulfilment เป็นทีมของคุณ

ติดต่อเราเพื่อเริ่มต้นวันนี้ !

📞 098-991-9356 | 📲 LINE: @scaleup
🌐https://www.scaleup-thailand.com/

ข้อมูลอ้างอิง:

  1. ระบบจดทะเบียนนิติบุคคลทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Registration). สืบค้นเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2568 จาก https://ereg.dbd.go.th/ERegistMemberWeb/nonmemberpages/home.xhtml 
  2. ไขข้อสงสัย การจดทะเบียนพาณิชย์ และการจดทะเบียนการค้าคืออะไร ขายของออนไลน์ต้องจดไหม?. สืบค้นเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2568 จาก https://flowaccount.com/blog/commercial-registration/ 

บทความอื่นๆ

Quotation
FB Icon line Icon
Go to Top
th
th